โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้หญิง
สาเหตุ อาการ การป้องกัน และการรักษา

1. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบคืออะไร?
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) เป็นภาวะอักเสบของกระเพาะปัสสาวะซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง โดยเฉพาะ Escherichia coli (E. coli) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปในลำไส้และสามารถเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้หญิง เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของระบบปัสสาวะที่แตกต่างจากผู้ชาย ทำให้เกิดการอักเสบและนำไปสู่อาการปวดแสบขณะปัสสาวะ ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดปนได้
2. สาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้หญิง
ผู้หญิงมีความเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงมีความสั้นกว่าผู้ชาย ทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้น ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่:
- การติดเชื้อแบคทีเรียจากลำไส้ใหญ่: E. coli เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปในลำไส้ และสามารถเข้าสู่ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายจากการทำความสะอาดที่ไม่ถูกต้องหลังการขับถ่าย
- การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน: ทำให้แบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะมีโอกาสเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดการอักเสบ
- การดื่มน้ำน้อย: ทำให้ปัสสาวะไม่ถูกขับออกบ่อยพอ และเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ
- การมีเพศสัมพันธ์: เพิ่มความเสี่ยงต่อการนำเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ระบบปัสสาวะ โดยเฉพาะหากไม่มีการปัสสาวะหลังมีเพศสัมพันธ์
- การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่ไม่เหมาะสม: เช่น สบู่ที่มีกลิ่นแรง น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้น หรือสเปรย์ดับกลิ่น ซึ่งอาจทำให้สมดุลของจุลินทรีย์ในระบบปัสสาวะเสียไป
- ภาวะสุขภาพบางอย่าง: เช่น เบาหวาน ซึ่งส่งผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- การใช้สายสวนปัสสาวะ: ในผู้ที่ต้องใช้สายสวนเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้มากขึ้น
3. อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบสามารถแบ่งออกเป็นระดับเบาไปจนถึงรุนแรง อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- ปวดแสบขณะปัสสาวะ: เป็นอาการหลักที่พบได้บ่อยที่สุด
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น: แต่ละครั้งปัสสาวะออกมาในปริมาณน้อย
- ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย: โดยเฉพาะหลังปัสสาวะ
- ปัสสาวะขุ่น หรือมีกลิ่นแรงผิดปกติ
- มีเลือดปนในปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้ปัสสาวะมีสีชมพูหรือแดง
- รู้สึกปัสสาวะไม่สุด แม้จะเพิ่งถ่ายปัสสาวะไปไม่นาน
- บางรายอาจมีไข้ต่ำ หรือรู้สึกหนาวสั่น หากการติดเชื้อรุนแรง
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว
4. วิธีการป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบสามารถทำได้โดยปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันดังนี้:
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ (วันละ 8-10 แก้ว) เพื่อช่วยขับเชื้อโรคออกจากระบบปัสสาวะ
- ไม่กลั้นปัสสาวะ ควรถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวด เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
- ปัสสาวะหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
- ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นอย่างถูกต้อง โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง เช่น น้ำหอม หรือสบู่ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
- เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เช่น โยเกิร์ตที่มีโปรไบโอติก หรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ระบบทางเดินปัสสาวะ
5. วิธีการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แพทย์มักแนะนำการรักษาดังนี้
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): เป็นการรักษาหลักสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะสั่งยาตามความรุนแรงของโรค และผู้ป่วยควรกินยาจนครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยล้างแบคทีเรียออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่อาจกระตุ้นอาการ เช่น แอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีกรดสูง
- ใช้ยาบรรเทาอาการปวด เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน ในกรณีที่มีอาการปวดมาก
หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
6. ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา การติดเชื้ออาจลุกลามไปยังไต ทำให้เกิด โรคไตอักเสบ (Pyelonephritis) ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงขึ้น และอาจมีอาการไข้สูง หนาวสั่น และปวดหลังรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจทำให้ไตเสียหายได้
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่สามารถป้องกันได้โดยปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพให้ดี หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่อสุขภาพ